Saturnia น้ำพุร้อนกับความสวยงามราวเทพนิยาย

Saturnia น้ำพุร้อนกับความสวยงามราวเทพนิยาย

ถ้าใครชอบธรรมชาติและอยากผ่อนหลาย ผมขอแนะนำสถานที่แห่งนี้เลยครับ คงจะเหมาะกับท่านผู้ชมหลายๆคนอยู่นะครับ เรามาดูกันซิว่าสถานที่แห่งนี้มีความเป็นมาอย่างไร

Saturnia น้ำพุร้อนกับความสวยงามราวเทพนิยาย

Terme di Saturnia คือชื่อของน้ำพุร้อนที่งดงามที่สุดในยุโรป เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งคือ “Saturnia” ตั้งอยู่ทางเตอนเหนือของประเทศอิตาลี เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองสปาชื่อดังของประเทศ มีประชากรเพียง 280 คน โดยน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงเป็นน้ำพุร้อนที่มีกำเนิดมาจากธรรมชาติ ที่เกิดจากการทับถมของหินปูนจากการระเหยของน้ำ โดยนำพุร้อนแห่งนี้จะไหลบ่าออกมาราวกับเป็นน้ำตกเพียงแต่ว่าสายน้ำจะมีอุณหภูมิประมาณ 37 องศาเซลเซียสกำลังอบอุ่นพอดี สำหรับการนอนแช่อย่างสบายตัว

   มีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับสระน้ำพุร้อนแห่งนี้ว่า เทพเจ้าดาวเสาร์ (Saturn) ของโรมัน ได้ส่งสายฟ้าฟาดลงมาในบริเวณนี้เพื่อให้แผ่นดินคายน้ำออกมา จนเกิดเป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่มีขนาดใหญ่และงดงามราวกับเทพนิยาย ซึ่งน้ำพุร้อนแห่งนี้คล้ายกับปราสาทปุยฝ้ายที่ประเทศตุรกี แต่สำหรับที่นี่นั้นมีความเตี้ยกว่าและทอดตัวในแนวราบกว่า แต่มีลักษณะเป็นบ่อเห็นปูนที่มีน้ำพุร้อนสีฟ้าใสไหลผ่านเหมือนกัน มีกลิ่นกำมะถันและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ช่วยบำรุงผิวพรรณ

 Saturnia เปิดให้ผู้คนเข้าชมได้อย่างสาธารณะรวมถึงการแช่น้ำร้อนก็ฟรีเช่นกัน แน่นอนว่าการเปิดให้เข้าฟรีก็อาจทำให้สระน้ำพุร้อนแออัด จึงขอแนะนำว่าให้ไปเที่ยวช่วงฤดูหนาวจะดีกว่า เพราะนักท่องเที่ยวจะน้อยกว่าและยังสามารถแช่น้ำพุร้อนท่ามกลางอากาศหนาวที่ลงตัวสุดๆ นอกจากนี้บริเวณรอบๆน้ำพุร้อนยังมีรีสอร์ทให้พักค้างคืน มีบริการนวดสปาทรีทเม้นท์ และมีร้านอาหารระดับดาวมิชลินให้บริการ ถ้าได้ไปเที่ยวแคว้นทัสคานีการไปแช่น้ำร้อนท่ามกลางธรรมชาติ Terme di Saturnia ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว

ที่มา https://travel.thaiza.com/foreign/384126/

ส่องเทศกาลคาร์นิวัล ที่เวนิสแห่งอิตาลี

เอาหล่ะครับ หากไปอิตาลีช่วงเทศกาลคารืนิวัลก็อย่าลืมเวะชมนะครับ เป็นเทศกาลที่สวยงามกันเลยทีเดียวหล่ะครับ

เมื่อพูดถึงประเทศอิตาลี นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออย่างหอเอนเมืองปิซ่า ความสวยงามของธรรมชาติและสถาปัตยกรรมต่างๆของเมืองมิลาน เมืองฟลอเลนซ์ เมืองเวนิสและเมืองหลวงอย่างกรุงโรมแล้ว วันนี้ Expedia มีข้อมูลเทศกาลการใส่หน้ากากและเดินขบวนพาเหรดที่มีชื่อเสียงโด่งดังของประเทศอิตาลีอย่าง เทศกาลเวนิสคาร์นิวัล(Venice Carnival) เทศกาลที่เป็นเครื่องหมายของเสรีภาพในการแสดงออกมาให้ได้รู้จักกันครับ

งานเทศกาลหน้ากากแห่งเมืองเวนิสนี้มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1268 ซึ่งถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นเฉลิมฉลองก่อนเริ่มวันถือศีลของชาวคริสต์หรือในช่วง 40 วันก่อนถึงวันอีสเตอร์นั่นเอง แต่เมื่อกองทัพของจักรพรรดินโปเลียน ได้เข้ายึดครองเมืองเวนิสในปีค.ศ.1797 ก็ได้มีการสั่งห้ามไม่ให้สวมหน้ากากเพื่อปกปิดใบหน้า และนับแต่นั้นการสวมใส่หน้ากากกลายเป็นสิ่งต้องห้ามและผู้ฝ่าฝืนจะต้องโทษด้วยความตาย

จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปนักศึกษาของ Academy of Fine Art ได้รื้อฟื้นเทศกาลหน้ากากกลับมาในปี ค.ศ.1970 โดยมีการสวมหน้ากากรวมถึงแต่งองค์ทรงเครื่องกันอย่างอลังการและเดินขบวนพาเหรดเต้นรำไปยังสถานที่ต่าง ๆ และออกมาฉลองร่วมกันบนท้องถนนอย่างไม่มีการแบ่งชนชั้น เพราะไม่ต้องกลัวใครจำตัวตนที่แท้จริงได้

นี่ก็เป็นอีกที่นึ่งนะครับถ้าเมื่อได้ไปเที่ยวในช่วงเทศกาลแล้วก็อย่าลืมแวะชมกันนะครับ

ที่มา https://travelblog.expedia.co.th/festival/bd05_feb2017/

อิ่มใจแบบไฮโซที่เกาะคาปรี

เกาะคาปรี  






สวัสดีครับ พร้อมกันหรือยังที่จะไปดูเกาะแห่งนี้ว่ามีความสวยงามขนาดไหน ถ้าพร้อมแล้วเราก็ไปดูกันเลยคร้าบบบบบบ

 เนิ่นนานมาแล้วล่ะที่ เกาะคาปรี (Capri) อวดความงามของตัวเองว่าเป็นสวรรค์ในการตากอากาศของเหล่าคนดัง นับลงมาตั้งแต่ราชาแห่งแคว้น ศิลปิน นักออกแบบ ดารา นักกาเมือง เรื่อยมาจนถึงมวลหมู่เซเลบริตี้ชื่อดัง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เกาะสวรรค์แห่งนี้ จะเนืองแน่นไปด้วยร้านรวงของสินค้าแบรนด์เนมราคาแพงระยับ โรงแรมหรูคุณภาพระดับ 6 ดาว 

 ที่สำคัญ เกาะคาปรี ยังปรากฏในห้วงคำนึงของผู้คนในทุกยุค ว่าเป็นแหล่งรวมของไวน์ชั้นเลิศที่สุดในโลก น้ำหอมที่มีกลิ่นละมุนที่สุดของวงการ นอกจากนั้น บรรยากาศที่แสนโรแมนติกในทุกตารางนิ้ว ยังส่งให้เกาะแห่งนี้เนื้อหอมขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว

 ความงามของ เกาะคาปรี มีให้สัมผัสในทุก ๆ  ตารางนิ้ว เกาะแห่งนี้จึงถูกใช้เป็นสถานที่ตากอากาศของชนชั้นสูงมาตั้งแต่สมัยโรมันเรืองอำนาจ และยังคงมนต์เสน่ห์แห่งความงามมาจนถึงทุกวันนี้ สิ่งสะท้อนความเลอโฉมของ เกาะคาปรี ก็คือว่าบรรดากวีและนักเขียนชื่อดังต่างก็บอกในงานเขียนเป็นเสียเดียวกันว่า "ที่คาปรีสวรรค์อยู่ใกล้ ๆ เพียงแค่ปรายตามอง" 

น่าเที่ยวกันไหมหล่ะครับ

ที่มา https://travel.kapook.com/view16422.html

เดวิด เป็นผู้ชายที่งามที่สุดในโลก

สวัสดีครับทุกๆคน วันนี้ผมจะพามาดูรูปปั้นที่ชาวอิตาลีขนานนามกันว่ารูปปั้นนี้เป็นรูปปั้นชายที่งามที่สุดในโลก  เป็นศิลปะของโลกที่มีความสวยงามมากๆเลยครับ อยากรู้กันแล้วใช่ไหมหล่ะครับ ถ้างั้นเราไปดูกันเลย

เดวิด เป็นผู้ชายที่งามที่สุดในโลก

เดวิดเป็นรูปสลักหินผลงานของมิคันเจโล… เด็กเลี้ยงแกะในคัมภีร์ไบเบิลที่ได้ขันอาสาไปต่อสู้กับยักษ์โกไลแอท (Goliath) กระทั่งได้รับชัยชนะ และได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์องค์แรกของชาวยิว รูปสลักหินเดวิดของมิเคลันเจโล นั้นแผกจากคนอื่น แทนที่จะแสดงออกถึงชัยชนะที่มีเหนือยักษ์โกไลแอท เขากลับเลือกที่จะปั้นเดวิดในท่วงท่าที่สงบนิ่ง อันเป็นช่วงเวลาก่อนออกเดินทางไปต่อสู้กับยักษ์ เพื่อแสดงถึงพละกำลัง และความแข็งแกร่งของจิตใจ

รูปปั้นเดวิด ผลงานของมิเคลันเจโลนั้นแสดงอยู่ชั้นล่าง ตรงห้องหมายเลข 6 ของพิพิธภัณฑ์อเคเดมี แกลเลอรี่  ห้องแสดงหมายเลข 6  นั้นมีลักษณะเป็นห้องครึ่งวงกลม เพดานหลังคาด้านบนดันสูงเป็นทรงโดม เป็นการเพิ่มพื้นที่ว่างโล่งให้กับห้อง การจะไปถึงห้องนั้นจะต้องผ่านระเบียงที่วางแสดงผลงานสองด้าน ประหนึ่งเป็นทางปูพรมนำไปสู่ผลงานชิ้นเอกที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อก้าวย่างเข้าไปในห้องครึ่งวงกลม และเผชิญกับรูปปั้นเดวิดที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ลืมเดวิดตัวปลอมไปได้เลย รูปสลักหินเดวิดที่อยู่เบื้องหน้านั้นงดงามชวนตกตะลึง จนแทบลืมหายใจ

สำหรับรูปปั้นเดวิดนี้ ใครที่ได้มาเยือนเมืองฟลอเรนซ์ก็จะต้องแวะชมและเก็บภาพไว้เป็นที่ละลึกกันเลยทีเดียว

ที่มา https://www.iurban.in.th/design/david/

มานาโรล่า เสน่ห์หมู่บ้านริมผาแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

มานาโรลา (Manarola)

ขอแนะนำนี่เลยครับ มานาโรลา สถานที่ที่น่าเที่ยวอีกที่หนึ่งของอิตาลีครับ ที่นี่เต็มไปด้วยความสวยงามตามธรรมชาติและความสงบที่น่ามาสัมผัสอากาศที่นี่มากเลยนะครับ

ทะเล เป็นอีกหนึ่งสถานที่อันแสนสงบ โดยเฉพาะกลิ่นอายของท้องทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนอยู่บ่อยครั้ง 

หมู่บ้านมานาโรล่า (Manarola) ส่วนหนึ่งใน ชิงเกว่ แตร์เร่ (Cinque Terre) ซึ่งเป็นหนึ่งใน 5 หมู่บ้านมรดกโลกของแคว้นลิกูเรีย (Liguria) ที่ตั้งอยู่ทางภาค เหนือของประเทศอิตาลี 

 หมู่บ้านมานาโรล่า ถือว่าเป็นหมู่บ้านที่เก่าแก่ที่สุดของชิงเกว่ แตร์เร่ ประกอบ อาคารงดงามที่มีสีสันสดใส ที่ตั้งเรียงรายลดหลั่นลงมาหน้าผาสูงชันเหนือทะเล เมดิเตอร์เรเนียน ปัจจุบันหมู่บ้านแห่งนี้ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศไปแล้ว 

 ภายในตัวเมืองคุณจะพบกับจัตุรัสที่มีชื่อว่า Capellini พลาซ่า ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 2004 สถานที่ที่คุณจะได้เดินเล่น หรือหาซื้อของว่าง หรืออาหาร กลางวันทานได้ที่นี่ 

ที่มา https://travel.thaiza.com/foreign/194091/

เที่ยว Portofino (พอร์โตฟิโน่)

เที่ยว Portofino (พอร์โตฟิโน่)

หากต้องการพักผ่อน มากับครอบครัว มากับคู่รัก ผมแนะนำที่นี่เลยครับ เพราะที่นี่มีที่พักที่สวยงามตามธรรมชาติและความเรียบหรูครับ เหมาะแก่การพักผ่อนจริงๆเลยแหละครับ

พอร์โตฟิโน่ เมืองในฝันของใครหลายคน หวังจะได้มาเยือน เยี่ยมชมเมืองที่สวยงาม เต็มไปด้วยศิลปะ สีสันสดใสของหมู่บ้านสไตร์อิตาเลียน ริมอ่าวของทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน แห่งนี้ ผู้ได้มาเยือนจะตกหลุมรักความมีสไตร์ของมัน

ระยะทางจากเมืองที่อยู่ Rapallo ประมาณ 8 กิโล ระหว่างทางก็ขับรถชมวิวทะเลสวยๆกันไป ชิลมากคร่ะ วันว่างก็จะแว้นมอร์ไซมาเที่ยวกัน สะดวกมาก เพราะที่นี้ถนนแคบ ที่จอดรถน้อย มอร์ไซสะดวกสุด ซึ่งเราอยู่ไม่ไกล

ที่มา http://nookzainitaly.blogspot.com/search/label/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%20%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B5

โซเรนโต้ (Sorrento)

โซเรนโต้ (Sorrento)

นี้่ก็คงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่หลายๆคนจับตามองที่จะไปสักครั้งในชีวิต เพราะวิวทิวททัศน์ต่างๆ สวยงามไปหมดเลยครับ เหมาะแก่การมาเที่ยวกับครอบครัวเป็นอย่างมมาก

ถือว่าเป็นเมืองตากอากาศที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆของอิตาลี เมืองนางเงือก เมืองแห่งไร่ส้มและไร่มะนาว เมืองแห่งสีสัน เมืองเล็กๆ อันเงียบสงบ ท้องฟ้ามีคราม น้ำทะเลใส อากาศเย็นสบาย ในแคมปาเนียแห่งนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของชื่อที่ดึงดูดใจมากมาย ชื่อเสียงของหน้าผาทะเล ความลาดชันของเมืองที่มองเห็นได้หากคุณมองข้ามน่านน้ำไปยังระวังมากกว่าน้ำ ฟ้าที่อิสเกีย คาปรี และอ่าวเนเปิลส์ แหล่งกำเนิดของเหล้าลิมอนเซลโล่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการดำน้ำ ตกปลา ล่องเรือและลิ้มลองอาหารในร้านอาหารแสนอร่อย

ซอร์เรนโต เป็นเมืองวัฒนธรรมที่หลากหลาย เพราะอดีตมีการปกครองโดยกษัตริย์จากหลายอนาจักร

Sorrento เมืองแห่สีสันปิอัซซ่าแทสโซ (Piazza Tasso)

จัสตุรัสที่ใหญ่ที่สุดของเมือง ตั้งชื่อเป็นเกียรติให้แก่กวีชื่อ ทอร์ควาโต แทสโซ (Torquato Tasso) ที่ประพันธ์เรื่อง Jerusalem Delivered เรื่องราวของสงครามครูเสดครั้งแรก

ที่มา : http://www.romatravel.co.th/%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B5/%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1/%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%95

สะพานรีอัลโต Rialto Bridge

สะพานรีอัลโต Rialto Bridge

ถือว่าเป็นสะพานที่สวยงามอีกที่นึงก็ว่าได้เลยนะครับ เพราะผมก็มองว่ามันเป็นศิลปะที่สวยงามมากๆเลยครับ ผมอยากจะไปถ่ายรูปที่นี่มากเลยครับ เราลองมาดูกันซิว่ามันน่าเที่ยวชมขนาดไหน  ไปดูกันเลย

นับว่าเป็นสะพานเก่าที่สวยงามและโด่งดังมากที่สุดในเวนิสคiy[ สร้างมาตั้งเเต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 15 มีความสูงกว่า 24 ฟุต สร้างมาจากหินจึงมีความเเข็งเเกร่งเเละสวยงามมากกก ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ Antonio Da Ponte ซึ่งออกเเบบเป็นรูปตัววีที่เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร เป็นสะพานที่มีหลังคาคลุมด้วยนะคะ ความสูงนี้ก็เพื่อให้เรือแล่นผ่านไปได้นั่นเอง    

 

โดยตั้งอยู่บริเวณแกรนด์คาแนลและเชื่อมกับย่านซานโปโล บนสะพานมีร้านขายของทีระลึกให้นักท่องเที่ยวได้เดินเลือกซื้อกันอีกด้วย มีทั้งร้านขายเครื่องเเก้ว เครื่องประดับ เเละงานหัตถกรรมต่างๆ บรรยากาศในช่วงกลางวันนั้นจะคึกคัก ผู้คนนิยมมาชมวิวที่สวยงามของเมืองเวนิส ส่วนในเวลากลางคืนสะพานนี้จะสว่างขึ้นด้วยแสงจากหลอดไฟและแสงสะท้อนจากผิวน้ำ เหมาะแก่การมาเดินเล่น โรแมนติกฝุดๆ >,<

สะพานริอัลโต เป็นสะพานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสะพานข้าม Grand Canal ทั้ง 4 แห่ง อีก 3 แห่ง คือ สะพาน Ponte degli Scalzi หน้าสถานีรถไฟ, สะพาน Ponte dell Accademia บริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์ Gallerie dell Accademia และสะพานล่าสุด Ponte della Costituzione เชื่อมระหว่างสถานีรถไฟกับจัตุรัส Piazzale Roma

ที่มา https://www.yingpook.com/vanice/

                      

มหาวิหารซานมาร์โค Saint Mark’s Basilica

มหาวิหารซานมาร์โค Saint Mark’s Basilica

ที่นี่เป็นที่ที่น่ามาศึกษามากเลยนะครับ เพราะอาจจะมีการให้ความรู้ต่างๆเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างนี้ ผมอยากให้ทุกคนได้ลองมาชมดูนะครับ เราลองมาดูกันก่อนดีกว่าว่าสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญอย่างไรบ้าง

มหาวิหารซานมาร์โค เป็นโบสถ์คริสต์ศาสนาของนิกายโรมันคาทอลิกประจำเมือง ที่มีความสำคัญกับเมืองเวนิสมาตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบันเลยล่ะค่ะ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 829 และได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิหารในปี ค.ศ. 1094 มีฉายาเรียกกันว่าโบสถ์ทอง เพราะมหาวิหารแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่สำคัญของสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ เป็นสิ่งก่อสร้างที่งดงามมาก ประดับด้วยงานโมเสกแบบไบแซนไทน์ และประติมากรรมต่างที่แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ และอำนาจของเวนิส

สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่นักบุญมาร์ค ผู้เผยแผ่ศาสนาที่อิยิปต์ ได้ถูกประหารชีวิต เมื่อปี ค.ศ. 828 พ่อค้าชาวเวนิสไปขโมยศพของนักบุญเซนต์มาร์กมาจากเมืองอเล็กซานเดรียในอียิปต์ และนำมาถวายเจ้าผู้ครองเมืองเวนิส จึงได้มีการสร้างโบสถ์นี้ไว้เก็บศพของนักบุญเซนต์มาร์กเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนครับ

http://www.worldtraveltrips.com/

จุดเด่นของโบสถ์ คือ ซุ้มประตูโค้ง 5 ช่อง ด้านหน้าโบสถ์ แต่ละช่องประดับด้วยกระเบื้องโมเสกสีทองและหินสีมีค่า มีภาพจิตรกรรมเกี่ยวกับนักบุญมาร์คและเรื่องราวในพระคัมภีร์ ภายในโบสถ์ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงของมีค่าโบราณมากมาย ทั้ง ภาพจิตรกรรม ม้าบรอนซ์ กระเบื้องโมเสก การบันทึกเรื่องราวต่างๆ สมัยยุคกลาง รวมทั้งหนังสือโบราณอายุกว่า 500 ปีด้วยครับ

https://www.expedia.co.th

ที่มา : https://www.yingpook.com/vanice/